วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552
















วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์


นั่งในวันอาทิตย์
ชมชิดสนิทสงบ
แนบแน่นแผ่นพิภพ
สำราญ

พิสมัยในชีวิต
อยู่ติดห้วยละหาน
ไพรพงในดงดาน
ธรรมดา

ธรรมชาติบริสุทธิ์
ประดุจบ้านในลานป่า
ร้อยรักด้วยศรัทธา
นิรันดร์

นั่งในวันอาทิตย์
มองมิตรอย่างมุ่งมั่น
เปล่งแสงความผูกพัน
แผ่นดิน

19 ก.พ 49

กาลเวลา


เมื่อวาน
ขับเวลาเคลื่อนผ่านกาลสมัย
มืออ่อนโยนอ่อนเยาว์เฝ้าโยงใย
หมุนเวียนไปใส่กรอทอเป็นผ้า

ปัจจุบัน
ผืนผ้าสีแพรสรรพรรณรากหญ้า
ทอด้วยแรงร่วงโรยมือชรา
ทอดสายตาครุ่นคำนึงถึงวานวัน

วันพรุ่งนี้
หวังยังมีสายใยให้สร้างสรรค์
โลกคงสวยด้วยไมตรีที่สำคัญ
เชื่อมสัมพันธ์โยงใจไปสู่ใจ

กาลเวลา
ปราถนาหยุดพักสักนิดไหม
หากเหนื่อยนักพักหน่อยแล้วค่อยไป
ปล่อยดวงใจสายใยรักเฝ้าถักทอ

19 ก.พ 49

ประติมากรรมธรรมชาติ


เมื่อง้วนดินก่อสร้างเป็นร่างกาย
เหล่าเม็ดทรายถักทอก่อผสม
หยาดน้ำค้างช่วยยึดเหนี่ยวให้เกลียวกลม
ขับเคลื่อนลมเร่งผสานอยู่นานวัน

พระจันทราเป็นดวงใจใสสนิท
พระอาทิตย์เป็นดวงตาแห่งสวรรค์
มวลแมกไม้คือพวงแก้มที่แย้มพรรณ
ปากหูนั้นประกอบออกจากดอกไม้

เส้นผมคือเส้นไหมใบหม่อนถัก
แมงมุมชักใยซ้อนซ้ำเส้นไหม
ฟันคือหินพิสุทธิ์อ่อนซ้อนภายใน
ทุกอวัยวะล้วนเป็นชีวิต

เป็นประติมากรรมธรรมชาติ
ใสสะอาดด้วยศาสตร์ศิลป์การประดิษฐ์
รังสรรค์สู่ปฐพีนิรมิต
สำแดงฤทธิ์จิตวิญญาณการเป็นคน

15 ก.พ 49

มอง


ในมือถือนมกล่องมองดูแม่
เห็นรักแท้ที่แม่ชอบมอบกอดให้
ลูกดื่มนมอกอุ่นคุ้นเคยใจ
จนเติบใหญ่ไกลอกแม่แค่คืบคลาน

อุ่นใดใดหอมกรุ่นเท่าอุ่นใจ
เสียงใดใดไพเราะเท่าเห่ขาน
อิ่มใดใดอิ่มซึ้งถึงวิญญาณ
รสใดใดหอมหวานปานรสรัก

ที่แม่มอบให้ลูกด้วยผูกพัน
คอยปลุกปั้นปลอบใจให้ประจักษ์
เป็นสายใยถักสานมานานนัก
เหมือนเสาหลักแบบอย่างสู่ทางดี

ดื่มนมกล่องมองดูรักอีกสักครั้ง
ก็คงยังเห็นรักแม่แผ่ทุกที่
แม้นชีวิตมืดมนท้นทวี
ใจยังมีแสงสว่างส่องทางรัก

12 ก.พ 49

ข้าม


ก้าวข้ามสู่ความหวัง
ข้างฝั่งไปสู่ฝัน
ฝ่าฝนอดทนอัน
รันทดท้อเข้าต่อตี

ข้างหน้าแลงดงาม
อยู่ท่ามกลางแต่สิ่งดี
ดำเนินด้วยเสรี
มีความสุขทุกคืนวัน

ชีวิตทุกชีวิต
มีสิทธิ์เลือกสร้างสรรค์
ดีงามความจริงนั้น
อันเอื้อให้หมดลำเค็ญ

จึงหวังมุ่งสู่ฝัน
ข้ามวันอันทุกข์เข็ญ
ผ่านร้อนผ่อนด้วยเย็น
เห็นรุ้งงามแห่งความงาม

9 ก.พ 49

ธำรง


อาบไล้ไออุ่นกรุ่นเกื้อ
โอบเอื้อแสงทองผ่องใส
อ้อมอกผองชนคนใด
ปันให้ดังแสงแห่งตะวัน

ขับไล่ไอหนาวคราวหนาว
ให้แสงสกาวคราวฝัน
ส่องทองย่างเท้าเท่ากัน
สร้างสรรค์ชีวิตจิตใจ

ธำรงวิญญาณการสัมผัส
กำจัดอคติเคลื่อนไหว
อกเขาอกเราเข้าไป
ข้างนอกข้างในให้ดู

ตัดสินทุกอย่างยุติธรรม
ชี้นำคุณค่าควรอยู่
มอบรักถักทอต่อผู้
เชิดชูหัวใจในมนุษย์

8 ก.พ 49

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

ความฝันข้างกองขยะ



พิศเพ่งเพ็ญแพรดวงแขไข
ม่านใยนภากาฬดังลานฝัน
ดาวจับประดับฟ้าสารพัน
รวมกันอวดแข่งกลางแสงนวล

ประกายดาววาววามยามล่วงหล่น
แสงหม่นวูบหนึ่งคำนึงหวน
สะท้อนชีวิตจิตรัญจวน
ดั่งตรวนตราตรึงขึงร่างตรม

รัดรึงร่างเร้นเส้นระริก
เจ็บพลิกแผดร้องก้องขรม
ฝืนใจจิตมืดพะอืดพะอม
เจ็บระบมขมขื่นฝืนใจ

อิจฉาดาวอยู่เป็นคู่คู่
เราอยู่ครวญคร่ำน้ำตาไหล
ลมพร่ำห่มกอดทอดอาลัย
ด้วยหัวใจเรียกร้องก้องอุรา

พ่อจ๋าแม่จ๋าข้าอยู่นี่
ท่านหนีข้าไปไม่ห่วงหา
ต่อสู้ลำพังพลั้งกายา
ชะตาขีดเส้นความเป็นคน

ขุดคุ้ยเขี่ยค้นที่คนทิ้ง
ผีสิงสาบฝันนั้นสับสน
คลุกเคล้าเกลือกกลั้วมืดมัวมน
ทุกข์ทนกลางคลื่นฝืนฝีพาย

ทุกคืนครืนคร่ำย่ำเสียงท้อง
เสียงร้องดั่งเสียงสำเนียงพ่าย
อาภัพอับโชคโศกวางวาย
เหมือนกลายเป็นขยะชะตากรรม

17 ม.ค 43

ชีวิตในวงล้อม


ปัง ! ปัง !
เสียงปืนดังก้องขรมสังคมเน่า
เสียงหวีดร้องโวยวายให้ระนาว
ควันเขม่าคละคลุ้งฟุ้งวิญญาณ

ชีวิตยังสังเวยความขัดแย้ง
ความแก่งแย่งแข่งกันเด่นเป็นหลักฐาน
ความสามานย์ของสังคมคนสามานย์
อันธพาลจึงรายรอบเข้าครอบเมือง

ความคิดคนสวนทางขวางกั้นไว้
หากฝ่ายใดพ่ายยับอยู่นับเนื่อง
จิตที่หลงจมจ่อมย่อมขุ่นเคือง
จึงงมเงื่องเงื่อนไขในมุมมอง

หาหนทางสุขสงบพบได้ยาก
คนหมู่มากคิดแยกแตกเป็นสอง
คำสาบแช่งแย้งยักหักปรองดอง
เลือดจึงนองพสุธาใต้ฟ้าเทา

ในวงล้อมแห่งยุทธใจสุดสู้
แต่ไม่รู้หนทางที่สู้เขา
เฮือกสุดท้ายลมหายใจในตัวเรา
เพียงมือเปล่าที่จะสู้จนสุดตัว

และนี่คือเรื่องเล่าที่เราคิด
คิดชีวิตในวงล้อมอ้อมอกชั่ว
ยอมกลบร่างฝังดินหมดสิ้นตัว
เมื่อปืนรัวยิงกราดสาดเข้ามา

29 ต.ค 43

ชีวิตในความเงียบ


ณ มุมหนึ่งซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่ง
เป็นที่ซึ่งไม่มีใครได้เข้าถึง
เป็นนิยามความรู้สึกที่ลึกซึ้ง
เช่นนั้นจึงพยายามถามในใจ

อยากสัมผัสสำเนียงเสียงเสนาะ
เสียงดนตรีฟังไพเราะเหมาะเพียงไหน
เสียงนกร้องก้องล้ำลำนำไพร
สัมผัสใจซึ้งซ่านอยากพานพบ

เพียงหลืบมุมซุ่มเงียบไม่เพียบพร้อม
ถูกรุมล้อมโดยไม่รู้จะสู้หลบ
ไม่มีแม้ปีกหางสรรพางค์ครบ
มาสู้รบชะตากรรมผู้ชำนาญ

ชีวิตเหมือนขำขันที่ฝันเฟื่อง
เปรียบเป็นเรื่องเป็นราวที่ร้าวฉาน
เหมือนละครน้ำเน่าเขย่าวิญญาณ
กระตุกม่านน้ำตาพาไหลริน

4 มี.ค 45

เพลงทุ่ง


ณ ท้องทุ่งรุ้งโพยมแดดห่มฟ้า
มวลต้นกล้าร่าระริกกระซิกฝัน
จากใบเขียวเปลี่ยนสีที่เขียวพลัน
เหลืองทั่วกันกระจ่างเห็นเป็นระนาว

ถึงเวลามานาบปราบข้าวล้ม
มาช่วยก้มร่วมสุมทุมเถิดหนุ่มสาว
มาเร็วเข้าช่วยก้มเก็บเกี่ยวข้าว
เป็นเรื่องราวสมัครสมานสามัคคี

เกี่ยวกันไปพาลเบื่อเมื่อแดดร้อน
หนุ่มฉอ้อนอ้อนสาวอย่าด่วนหนี
มาเถิดมาแม่มาอย่าจรลี
มาหาพี่ร้องเพลงกลางทุ่งนา

“(ชาย) พี่ขอฟังสำเนียงเสียงน้อง
แม่เอ๋ยจงร้องร่ำว่า (รับ) เฮ้ เฮ เฮ
พี่เข้ามาปลอบทรามสงวน
ทั้งกาลก็จวนเวลา
ขอเชิญแม่เยื้อนเอื้อนโอษฐ์
เถิดแม่ผางมะโหดสุมนา
แม่งามประกอบจงตอบวาปี
เถิดแม่ดอกจำปาทองเอย (ลูกคู่รับ)

(หญิง) แต่พอพี่เอ๋ยทรามเชยก็ร้อง
ตอบสนองสนทนา (รับ) เฮ้ เฮ เฮ
ฉันเสียแค่นของพี่ไม่ได้
ซังกะตายจำจะว่า
ไหนไหนก็ได้เข้ามาปลอบ
แล้วจำจะตอบวาจา
มิให้พี่ชายขายหน้า
ที่เพื่อนเขามาดอกเอย (ลูกคู่รับ)”

อนิจจาเวลานี้พี่แสนเศร้า
เพลงเกี่ยวข้าวเลือนหายนะไทยเอ๋ย
ทุ่งนาร้างอย่างนี้ยังมิเคย
ไม่มีเลยใครจะแลแห่แหนกาย

ณ ทุ่งนาเคยมีข้าวกลับเปล่าเปลี่ยว
เดี๋ยวนี้เหลียวเห็นเพียงตึกนึกใจหาย
คนชราน้ำตาหยดรดรินกาย
คงวางวายหายลับกับท้องนา

17 ก.พ 43

แสนคำนึง


ฉันกำลังจะได้พบกับบทเพลงใหม่ๆ
เพลงที่จะทำให้ฉัน
หวนคิดถึงเพลงเก่าๆ
เพลงของวันวาน
แสนคำนึง

ไม่มีอะไร..ก็แค่รัก


ในโลกนี้มีคนที่ฉันรักไม่กี่คน
แต่ฉันรักเขาที่ตรงไหน
แล้วความรักคืออะไร
คนที่ฉันรัก
กำลังจากฉันไปทีละคน
มันทุกข์ทรมานใจ
นี่หรือความรัก
แม้จะรู้ดี
แต่ฉันก็ยังอยากจะเผชิญ
เพราะรักมีอะไรมากกว่านั้น

ความรู้สึกของกวี โดย เสมอมาส อาสา


นักกวี มักมีความแปลกแยกกับสังคมที่ตนอยู่
มีเพื่อนมากแต่เหมือนขาดเพื่อน
มีคนรู้จักห้อมล้อมอยู่เยอะแยะ
แต่กลับรู้สึกโดดเดี่ยว รู้สึกเหงา
อาจเป็นเพราะความฝันที่อยู่ในใจของศิลปิน
ยิ่งฝัน ยิ่งไกล ยิ่งว้าเหว่
ยิ่งฝันสูง ยิ่งหนาว
แล้วก็โหยหาเพื่อนทั้งหญิงชาย
อยู่ร่ำไป

ผู้คน..หนทาง


ผ่านผู้คนบนหนทาง
ยังจำได้ไหมว่ามีใครบ้าง
ที่เคยรู้จักและยังจำพวกเขาได้
ใครบ้างคือคนที่เรารัก
และพวกเขาเหล่านั้นตอบแทนเราอย่างไร
ระยะเวลาและระยะทางที่ยาวไกล
ผ่านพบอะไรบ้าง
และยังจำได้ไม่เคยลืม

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

กวีทรรศน์ โดย เคี่ยว โคมคำ


กวี คือผู้ที่มองทะลุเห็นธาตุแท้ความกระหายหิวทางภายใน
กวี คือผู้เปี่ยมล้นด้วยจินตนาการฝันอันไม่สิ้นสุด
กวี มีสันติภาพเป็นอาภรณ์ไว้หุ้มห่ม
กวี เป็นจิตรกรผู้วาดภาพด้วยถ้อยคำกลางป่าอักษร
กวี เป็นมนุษย์ผีเสื้อตัวเล็กปีกบางที่โบยบินอยู่บนสายรุ้ง
เสียงของกวี ไม่มีเชื้อชาติ ศาสนา
ความรักของกวี ไม่มีพรมแดน
จิตวิญญาณกวี ไม่มีการเมือง เรื่องรับผลประโยชน์
กวีทรรศน์ที่สะท้อนออกมาทางผลงาน
จึงบริสุทธิ์ในเรื่องราวที่สื่อออกมา
นานาประเทศยกย่องกวีให้เป็นบรมครูของชีวิต
ที่อยู่เหนืออำนาจ ทุกเชื้อชาติ ศาสนา

กวีทรรศน์ โดย เคี่ยว โคมคำ


ภาษากวี เป็นสุนทรียศาสตร์
ที่สะท้อนออกด้านความงามทางอารมณ์ ความรู้สึก
เนื้อหาไม่ว่าจะเกรี้ยวกราดหรืออ่อนหวาน
ล้วนมีท่วงทำนองเสนาะฝังไว้ด้านในคล้ายกัน
ความลุ่มลึกโดดเด่นของบทกวีที่ดี
ไม่ได้อยู่ที่ความคิดและการเป็นนักประดิษฐ์คำด้านใดด้านหนึ่ง
หากต้องมีทั้งสองสิ่งควบคู่กันไปอย่างไม่ขาดสาย
การเรียบเรียงอารมณ์ให้เกิดความสวยงามคมชัด
เป็นกฏเกณฑ์อิสระ
แต่เราก็ไม่ปล่อยให้ความอิสระ
พาหลงทิศจากสู่จุดหมายปลายทาง
ที่เราจะเดินไปข้างหน้า

บทกวีของฉัน


เคยเห็นบทกวีของฉันไหม
นั่นไง...ในประกายน้ำตานั่น
กำลังพรั่งพรูออกมาจากตาฉัน
บทกวีนับพันซึ่งกลั่นกลาย

ฉันอยู่นี่กวีที่รัก
ห้วงเวลาอกหัก...ไร้จุดหมาย
อยู่ในความมืดมนทุรนทุราย
ในอาการปางตายมีกวี

บทกวีของฉัน
ลอยคว้างกลางตะวันฉัพพรรณรังสี
จนอับแสงค่ำคราวดาวทวี
หรือนานปีจนลบเลือนเดือนดาวดู

แม้ในฝันอันเปลี่ยวเหงา
ยังมีเงาบทกวีแทนที่อยู่
แม้ท่ามกลางผู้คนทุกข์ทนสู้
บทกวีก็ยังอยู่ในหัวใจ

16 ก.ย 49

ในห้องนอน


นั่งอยู่ในห้องนอนร้อนอบอ้าว
หิวข้าวแต่ไม่อยากออกไปไหน
ดูถนนจนเพลียละเหี่ยใจ
ยวดยานวิ่งขวักไขว่ปล่อยไอดำ

เปิดวิทยุฟังเพลงที่ไม่ชอบ
อ่านหนังสือหลายรอบขอบตาคล้ำ
อ้าปากหาวตาปรือมือยังคลำ
ฝึกฝืนคร่ำเคร่งเขียนบทกวี

นึกรังเกียจร่างกายมันหลายโรค
ดูผอมโกรกอย่างกับไม้เสียบผี
ผิวเข้มคล้ำดำด่างออกอย่างนี้
หาคนดีที่ไหนเห็นใจกัน

ไอร้อนสะท้อนมาที่หน้าต่าง
คิดพลางกางมูลี่มาคลี่กั้น
เสียงเพลงใหม่ไม่เข้าหูเดี๋ยวรู้กัน
เอาวะฉันร้องเองเปลี่ยนเพลงไป

คนข้างนอกบอกมาว่าหนวกหู
ร้องอะไรไม่รู้ร้องอยู่ได้
ช่างเถอะเขาไม่เห็นไม่เป็นไร
นั่งร้องไห้ในห้องนอน...ร้อนอบอ้าว

17 ก.ย 49

สติดุริยางค์


นอนฟังเพลงในห้องเช่า
กระดิกเท้าเข้าจังหวะ
ปล่อยใจให้เลิกละ
ขณะอดีต...อนาคต


เพลงเบาเบาเคล้าอารมณ์
กล่อมผสม...ว่าง...กำหนด
มีสติปฏิบัติตัดงด
กั้นกดปลดวางอย่างหมดใจ

ยินเสียงเพียงเพลงบรรเลงกล่อม
โน้มน้อมพร้อมลับหลับใหล
เว้งว้าง...คว้าง...วูบไป
ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น

เมื่อตื่นจึงลืมตา
ร่ำลานิทราฝัน
พร้อมสติดำริทัน
พ้นพันธะดำรง

16 ก.ย 49

ความสุขของท้องฟ้า


อาทิตย์อำพันปันแสง
แจ่มแจ้งทาบทาฟ้าใส
เมฆน้อยลอยเล่นเย็นใจ
ลมไล้โลมลานเล้าลน

ผิวน้ำอวยไอให้น้ำ
เมฆฉ่ำอุ้มไอโอบฝน
เริงรำสำราญนานจน
ปะปนเกลื่อนกลุ้มกลุ่มไอ

แสงสุขส่องแวบแปลบปลาบ
กำราบครืนครางครั้งใหญ่
เก็บกดอดรนทนไม่ไหว
พาใจเป็นฝนหล่นพรำ

ยอมสยบสงบหยาดปาดน้ำตา
มองฟ้าโปรยปรายสายฝนฉ่ำ
เสียงใจกระทบใจในถ้อยคำ
สุขล้ำทำนองกรองกวี

ลบเลือนน้ำตาฟ้าปลอบ
ส่งมอบทุกข์ท้นล้นปรี่
ฝากไว้ในอากาศธุลี
อย่ามีวันหวนคำนึง

16 ก.ย 49

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

วันเปิดเทอม


นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดปวดสมอง
ตาเหม่อมองเลื่อนลอยละห้อยโหย
ถอนหายใจหลายคราหน้าอิดโรย
ระดมโกยความคิดติดติดกัน
คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก
จะไป(หลอก)ยืมเงินใครจะให้ฉัน
ถึงตอนนี้ทำอะไรได้ทั้งนั้น
จะฆ่าฟันฉันก็รับขอทรัพย์วาง
ขอแค่มีเงินมาค่าเทอมลูก
แม้ผิดถูกอย่างไรได้ทุกอย่าง
พอมีทุนวันหน้าหาหนทาง
เร่งรับจ้างทั้งกลางวันถึงกลางคืน
แต่ลูกเอ๋ยพรุ่งนี้ไม่มีเงิน
เจ้าจงเดินเข้าไปเล่ามือเปล่ายื่น
ขอผลัดผ่อนก่อนอาจารย์วันมะรืน
จะหาคืน(ใช้ช่องต้องขโมย)
นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดปวดสมอง
ตาเหม่อมองเลื่อนลอยละห้อยโหย
ถอนหายใจหลายคราหน้าอิดโรย
ก่อนลมโชยพัดร่างไร้วิญญาณ
26 พ.ค 45

ซื่อสัตว์





คอยใครบางคน
นานจนเหนื่อยใจ
วันเปลี่ยนเวียนไป
ทำไมไม่มา
แมกไม้เมินมิ่ง
แน่นิ่งหนีหน้า
ลมล่องลอยลา
เจียนจำจากใจ
สู้ทนทุกที่
ไม่หนีไปไหน
จนกว่าคนไกล
ที่พรากได้พบ
ร่ำไห้เรียกหา
เวลาหลีกหลบ
คอยคนเคยคบ
ปลอบเหงาเงียบงัน
15 กพ.49

อกเขาอกเรา


มวลมนุษย์มีชีวิตจิตวิญญาณ
ต้องมีการบิดเบือนคอยเคลื่อนไหว
มิใช่หุ่นตุ๊กตาหามีใจ
ที่จะได้ตั้งตรงไหนก็ตรงนั้น
ใช่..ทุกคนมีชีวิต
ต่างมีจิตทิศทางสร้างสานฝัน
แม้มีบ้างที่กระทบกระทั่งกัน
อย่าดึงดันจนทะเลาะ..เบาะแว้ง
เราชอบอย่างไร..ใครก็ชอบอย่างนั้น
เหมือนกันอย่าจ้องระหองระแหง
หากคนเราอยู่อย่างระหวาดระแวง
คอยแก่งแย่งชิงดีมิทำเนา
เรารักตนคนอื่นย่อมยิ่งรัก
อย่าได้หักหาญน้ำใจไปเกลียดเขา
จงคิดไว้ว่าอกเขาคืออกเรา
ช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้เมตตา
22 พ.ค 45

ไออุ่นแห่งไอรัก


สายเลือดสายใยสายรัก
ไม่หักตัดใจจากผัน
เลือดเนื้อหล่อเลี้ยงรวมกัน
ผูกพันแนบแน่นแทนคุณ
เกิดมาด้วยรักโอบเอื้อ
บุณคุณเอื้อเฟื้อเกื้อหนุน
เกิดแล้วเลี้ยงดูการุณ
อบอุ่นโอบกอดทอดใจ
ใส่เปลเห่กล่อมหอมลูก
พันผูกสมัครรักใคร่
พัดวีโบกพัดปัดไกว
หลับใหลเปลสุขนิทรา
อดทนอดนอนอดหลับ
เปลี่ยนซับผ้าอ้อมแม่หา
ดูดเนื้อดูดนมแม่มา
เลือดตาแม่นี้กระเด็น
ลูกหิวแม่หามาป้อน
ลูกอ้อนร้องไห้ให้เห็น
แม่เหนื่อยเหงื่อหยดกระเซ็น
ยากเย็นหาให้ไม่ท้อ
11 มี.ค 43

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

โฉมหน้าที่แท้จริง


ต้องใช้โฟมล้างหน้าสูตรควบคุมความมัน
พอกครีมบำรุงสารพัดชนิด
โปะครีมกันแดด
หน้าต้องขาวอมชมพู
ไม่มีรอยตีนกาและความเหี่ยวย่น
ผิวอย่าคล้ำ มันจะดูสกปรก
ปากต้องอวบอิ่มดูมีสุขภาพดี
เส้นผมดูมีน้ำหนัก ไร้รังแค หอม
ฯลฯ
...........
ใครบางคนบอกฉันไว้เช่นนั้น
โฆษณาทางทีวีทุกช่องประโคมสรรพคุณ
ชีวิตของคนเราต้องเลอเลิศไปด้วยความเชื่อเช่นนี้
แล้วเราต้องเสียอะไรไปเท่าไหร่
เพื่อให้ชีวิตดูดีในสายตาของคนอื่น
............

เพื่อนรัก


เวลานั้น....
ฉันมีหัวใจติดกับเธอ
แม้จะไม่ทุกเวลา
แต่ฉันก็รู้สึกถึงเธอเสมอ
เพราะเธอไม่เหมือนใคร
และฉันคิดว่าเธอเข้าใจฉันที่สุด
ฉันอ่อนแอ
.........
เวลานั้น
ฉันไม่เคยรู้สึกว่าเธอมีฉัน
เป็นเพียงหน้าที่
.......
เวลานี้
ฉันเลิกเฝ้าติดตามเธอ
และออกเดินทางไปไกลแสนไกล
และเมื่อวันหนึ่งฉันกลับมาพบเธออีกครั้ง
หัวใจฉันเข้มแข็งขึ้น
ฉันจึงสัมผัสได้ว่า
เธอแสนดีกับฉันมากเพียงใด

เผชิญ


สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว
มิผ่องแผ้วอยู่คงฝืน
ตายแล้วไม่กลับตื่น
เสียใจไปก็เท่านั้น
23 ต.ค 43

ไหว้ครูดนตรี-นาฏศิลป์


โกมลวาริชล้ำ วิลาวัณย์
ศิรวาทน้อมดวงธรรม์ ท่านไท้
มาลานานาพันธุ์ พร้อมธูป เทียนมา
ดลมโนรถให้ มนัสน้อม ปูชนีย์
...............
จารึกคำสดุดี บนคำกวี
ด้วยจิตปฏิพัทธ์ศรัทธา
ศิษย์นอบน้อมเกศา กตัญญุตา
เทิดทูนท่านยิ่งอื่นใด
แม้ดวงกมลาสน์ได้ สอนสั่งเวไนย
เวโรจน์จึงเกิดมี
ศิษย์ขอกตัญชุลี ต่อปาจารีย์
ด้วยมาโนชมโนรมย์
.............
เสียงพิณพาทย์ประโคมประณตน้อม
มโหรีเห่กล่อมก้องผสม
เสียงสวดมนต์สรรเสริญอัญเชิญชม
เพื่อบังคมก้มกราบซาบฤดี
สาธุบูชิตพระพิฆเณศ
นบพระเดชแห่งพระเทวศรี
อีกอำนาจแห่งพระจอมมุนี
ผู้เสกสร้างนาฏดุรีย์ดนตรีไทย
ขอยอกรนบพระประโคนธรรพ
ผู้สร้างศิลปสรรพอดิศัย
อีกนบพระปัญจสิงขรเทวไท
ขอนบไหว้จริยาเป็นอาจารย์
..............
20 ก.พ 44

พระ


บรรพชิตคิดปลดเปลื้อง อบาย
สังขารเกิดแก่ตาย เที่ยงแท้
อวิชชาหลงงมงาย ติดมั่น ตัวตน
ปัญญาฉลาดแก้ นำเข้า ขจัดมาร
ร่มกาสาวพัสตร์ ธงชัย
ร่มพระรัตนตรัย กางกั้น
หลบซึ่งภยันตภัย หากเข้า ถึงตัว
รูปมารหลงปานปั้น เท่านั้น สีกา
พิทักษ์รักษาไว้ พิสุทธิ์ศีล
ดั่งพระพุทธชิน- ศรีสร้าง
บำเพ็ญธรรมนำปีน ป่ายสู่ ร่มชัย
ขันติวิวัฏสล้าง มล้าง มลายมาร
วิสุทธิ์วิเศษสันต์ เวทคู
วิภาสพระวิญญู สู่แจ้ง
กระจ่างดุจวิธู จัดแจ่ม
วิมุติวิชิตแสร้ง ดั่งแสงสุรีย์

7 ก.ค 45

รอ


ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้ตลอดไป